วิชา 50 เล่มเกวียน (หนังสือเก่ารับตามสภาพ)
คำนำ
บาร์บารา คิงซอลเวอร์ นักเขียนนิยายชาวอเมริกัน หนึ่งในนักเขียนในดวงใจของผู้เขียน กล่าวในงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยดุ๊ก เดือนพฤษภาคม 2551 ว่า
The wisdom of each generation is necessarily new. (ปัญญาของคนแต่ละรุ่นย่อมเป็นปัญญาใหม่เสมอ)
ปัญญาของคนแต่ละรุ่นต้องเป็นของใหม่ ไม่ว่าจะใหม่ถอดด้ามหรือต่อยอดจากปัญญาเก่า เพราะคนแต่ละรุ่นย่อมเผชิญกับความท้าทายและวิถีชีวิตใหม่ๆ ที่คนรุ่นเก่าไม่เข้าใจหรือตามไม่ทัน
ถึงแม้ว่าโลกวันนี้จะยังหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วไม่ต่างจากที่มันเคยหมุนก่อนกำเนิดของมนุษยชาติ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและกระแสโลกาภิวัตน์ก็ทำให้เรารู้สึกว่า โลกนี้หมุนเร็วกว่าที่เคยและฉุดให้เราวิ่งตามโดยที่ขยับเส้นชัยให้ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
ในสังคมที่ “ผู้ใหญ่” หลายคนยังทำตัวแบบผูกขาดความดี ความงาม และความจริง กล่าวหาคนหนุ่มสาวว่าเหลวไหลเลื่อนลอยแต่ในขณะเดียวกันก็ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก ไม่เคยสร้างแรงบันดาลใจที่แท้จริงอันใดให้กับคนหนุ่มสาว ส่วนสื่อส่วนใหญ่ก็นำเสนอแต่สิ่งที่จะทำให้เรตติ้งพุ่งกระฉูดโดยไม่สนใจผลกระทบที่ตามมา คำถามจึงมีอยู่ว่า “ปัญญาใหม่” ในคำคมของคิงซอลเวอร์นั้นจะเกิดเป็นมรรคผลที่แท้จริงได้อย่างไร
จุดเริ่มต้นของคำตอบอาจอยู่ในหนังสือจำนวนหนึ่ง ที่มุ่งถ่ายทอดความคิด ประสบการณ์ วิธีคิด และวิธีปฏิบัติที่ใช้การได้จริงและสอดคล้องกับทิศทางใหม่ที่มนุษยชาติจะต้องเดิน
เป็นที่ชัดเจนต่อทุกคนที่ห่วงใยสังคมและมองการณ์ไกลแล้วว่า วาระการพัฒนาในศตวรรษที่ 21 จะถูกกำหนดและตีกรอบด้วยประเด็นสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ นับตั้งแต่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรร่อยหรอลุกลามเป็นปัญหาระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน การขาดแคลนทรัพยากรน้ำ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพและตอกลิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคมให้ถ่างกว้างกว่าเดิม เพราะผู้ด้อยโอกาสย่อมเผชิญกับความเสี่ยงในการดำรงชีวิตมากกว่าผู้มีฐานะ
ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่า หากคนทุกคนบนโลกนี้ใช้ชีวิตเหมือนกับคนอเมริกัน เราจะต้องใช้โลกอีก 4 ใบ ก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นให้เรามองเห็นว่า อารยธรรมมนุษย์ต้องปรับเปลี่ยนวิถีและทิศทางการพัฒนาอย่างเร่งด่วน (ดังตัวอย่างในหนังสือเรื่อง Plan B 3.0) ก่อนที่อารยธรรมจะเดินเข้าสู่จุดจบดังที่มีตัวอย่างมากมายให้เห็นในประวัติศาสตร์ (Collapse)
ถ้ามนุษย์ยังไม่เปลี่ยนแบบแผนการพัฒนา ภาวะโลกร้อนก็จะยิ่งทวีความรุนแรง อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเพียงองศาเดียวก็ก่อให้เกิดผลกระทบกว้างไกล มิพักต้องพูดถึงหกองศา (Six Degrees)
ในระดับที่ย่อลงมา ระบอบเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยม” ที่เราเคยรู้จักจะต้องเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะสมมุติฐานและวิธีคิดที่เคยใช้ในอดีตนั้นได้รับการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าใช้การไม่ได้ในยุคที่เรียกร้องความสัมพันธ์สอดคล้องระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม หลายอย่างที่เราเคยเชื่อว่า “ดีไร้ขีดจำกัด” กำลังเผยขีดจำกัดและอันตรายให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล (The Gridlock Economy) หรือระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่จะต้องปรับแก้ให้หนุนเสริม “เศรษฐกิจลูกผสม” ยุคอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ศิลปะและธุรกิจสามารถอยู่ร่วมโลกกันได้อย่างกลมกลืน (Remix) ซึ่งก่อนที่จะทำอย่างนั้นได้ เราต้องมองเห็นศักยภาพของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิตอลอื่นๆ ในฐานะเครื่องมืออันทรงพลังที่จะส่งเสริมความหลากหลายและเศรษฐกิจภาคประชาชน ซึ่งอาจเรียกว่า “ทุนนิยมรากหญ้า” (The Long Tail) และทำให้ “คนสมองขวานำ” เป็นผู้นำในโลกธุรกิจ (A Whole New Mind)
ระบอบทุนนิยม โดยเฉพาะทุนนิยมแบบอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตแบบแมส ได้ก่อให้เกิดปัญหามากมายต่อทั้งระบบนิเวศและสุขภาพของผู้บริโภค (The End of Food The Omnivore’s Dilemma) ในขณะเดียวกัน นายทุนผู้ครองตลาดจำนวนมากก็อ้างว่านิยม “ตลาดเสรี” แต่เพียงลมปาก ในความเป็นจริงกลับวิ่งล็อบบี้นักการเมืองให้พิทักษ์อำนาจทางตลาดของตนไว้ โดยทำกิจกรรม “ซีเอสอาร์” เล็กๆ น้อยๆ บังหน้า (Supercapitalism) กีดกันคู่แข่งออกจากตลาด และกีดขวางการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะทลายอำนาจผูกขาดและหนุนเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีวันหมด ไปสู่เทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน (Internal Combustion) และอ้างวิทยาศาสตร์แบบผิดๆ เพื่อหลอกให้ผู้บริโภคหลงเชื่อในสรรพคุณที่ไม่มีจริง (Junk Science)
เมื่อหันมามองภาคการเงินที่ควรจะสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยบทบาทในการจัดสรรทุนนั้นจำเป็นอย่างยิ่งในเศรษฐกิจสมัยใหม่ กลับกลายเป็นภาคส่วนที่โหมกระพือความโลภและความมักง่าย ซึ่งอันที่จริงประวัติศาสตร์ก็สอนเราแล้วว่าส่งผลมหาศาลเพียงใด (The Power of Gold) แทนที่ภาคการเงินจะหนุนเสริม “เศรษฐกิจจริง” ที่ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คน กลับหนุนเสริมเศรษฐกิจฟองสบู่บนระบบความเชื่อมั่นที่ไร้ราก (The Conspiracy of Fools)
นักการเงินที่ครั้งหนึ่งเคยคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้ามากกว่าผลประโยชน์ของตัวเองเปลี่ยนสีกลับข้างเพราะความโลภบังตา (Infectious Greed The Accidental Investment Banker) จนนักคิดและนักการเงินอีกหลายคนอดรนทนไม่ไหว ออกมาประกาศว่าเราจะต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์และออกแบบระบบเสียใหม่ให้คำนึงถึง “ความไร้เหตุผล” ของมนุษย์ว่าเป็นตัวแปรที่มองข้ามไม่ได้ (The New Paradigm for Financial Markets Animal Spirits) และหวนคืนสู่หลักการเงินขั้นพื้นฐานที่เน้นการลงทุนในบริษัทที่มี “ความได้เปรียบอย่างยั่งยืน” (Warren Buffett and the Interpretation of Financial Statements)
แต่โลกยังไม่ไร้ซึ่งความหวัง ดังที่มันไม่เคยสิ้นไร้ในอดีต
เพียงแต่เราอาจมองไม่เห็นหนทางที่สร้างความหวัง เพราะมัวแต่ฟัง “ผู้ใหญ่” ที่ชอบออกงานเสวนาและ “คนดัง” ทั้งหลายที่ดังเพียงเพราะสื่อกระพือให้ดัง แทนที่จะเอาเวลาไปอ่านหนังสือ
หนังสือจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในทุกสังคม เพราะเป็นสื่อที่มีต้นทุนต่ำที่สุดแล้วในการถ่ายทอดและเผยแผ่ปัญญาที่เป็นระบบ..